วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มาร์โค โปโล: นักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

มาร์โค โปโล: นักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล



          บันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล (Marco Polo) ซึ่งเล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งและน่าสนใจมากมายในดินแดน ซึ่งยังไม่เคยมีชาวตะวันตกคนใดเคยไปมาก่อน เป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักเดินทางทุกยุคทุกสมัยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 700 ปี สนใจที่จะออกเดินทางไปยังดินแดนอันไกลโพ้นเพื่อค้นพบสิ่งแปลกใหม่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ซึ่งค้นพบทวีปอเมริกาในศตวรรษที่ 15 ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการอ่านบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล ผู้ซึ่งสมควรได้รับการยกย่องว่า เป็นนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

มาร์โค โปโล


          มาร์โค โปโล เกิดเมื่อปี 1254 ที่เมืองเวนิส บิดาชื่อ นิโคโล โปโล (Nicolo Polo) เป็นพ่อค้าที่ชอบออกไปค้าขายในต่างแดน ตอนที่มาร์โค โปโลเกิด พ่อและอา มัฟเฟโอ โปโล (Maffeo Polo) ได้ออกเดินทางไปค้าขายในแถบคาบสมุทรไครเมียร์ ทางตอนใต้ของประเทศยูเครนในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในเขตอิทธิพลของมองโกลที่กำลังแผ่อำนาจจากเอเชียกลางมายังทวีปยุโรป ในปี 1260 ได้เกิดสงครามระหว่างหลานของเจงกีสข่าน 2 คน ทำให้พ่อและอาของมาร์โค โปโล ต้องเดินทางหลบสงครามไปที่เมืองบูคารา (Bukhara) ในประเทศอุซเบกิซสถานในปัจจุบัน ณ ที่นั้น พ่อและอาของมาร์โค โปโลได้พบกับทูตของกุบไลข่าน (Kublai Khan) (ค.ศ. 1214-1294) ซึ่งได้ชักชวนให้บุคคลทั้งสอง เดินทางไปเข้าเฝ้ากุบไลข่าน ผู้ซึ่งมีความปรารถนาที่จะรู้จักกับชาวละตินและศึกษาวัฒนธรรมของชาวละติน นิโคโล โปโลและน้องชายได้ตอบตกลงและได้เดินทางไปกรุงปักกิ่ง (หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า คัมบาลุก “Cambaluc”) ทั้งสองได้เข้าเฝ้ากุบไลข่านในปี ค.ศ. 1266 มองโกลได้เข้าปกครองประเทศจีนและสถาปนาราชวงศ์หยวนขึ้นปกครองในปี ค.ศ. 1264 กุบไลข่านเป็นพระราชนัดดาของเจงกีสข่าน ในสมัยนั้นอาณาจักรของมองโกลได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล กุบไลข่านเป็นผู้ที่สนใจใฝ่รู้เรื่องราวและความเชื่อของชาวยุโรปมาก จึงได้ขอให้นิโคโล โปโล และน้องชายเดินทางกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อเข้าเฝ้าพระสันตปาปา และขอให้ส่งผู้มีความรู้ 100 คน และน้ำมันศักดิ์สิทธิ์จากวิหาร The Holy Sepulchre ในนครเยรูซาเลมกลับมาถวายพระองค์
          นิโคโล โปโล และน้องชายได้เดินทางกลับถึงบ้านเกิดทีเมืองเวนิสในปี ค.ศ. 1269 มาร์โค โปโลในขณะนั้นมีอายุได้ 15 ปี ได้มีโอกาสพบบิดาเป็นครั้งแรก มารดาของมาร์โค โปโลได้เสียชีวิตไปก่อนที่บิดาของมาร์โค โปโลจะเดินทางกลับถึงบ้านเพียงเล็กน้อย ในปี ค.ศ. 1271 มาร์โค โปโล ซึ่งในขณะนั้นอายุได้ 17 ปี ได้ขอเดินทางติดตามบิดาและอากลับไปประเทศจีน พร้อมกับพระราชสาส์นจากพระสันตปาปาเกร็กกอรี่ ที่ 10 (Pope Gregory X) น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ พร้อมด้วยพระ 2 รูป (ซึ่งได้หนีกลับไปหลังจากที่ได้ออกเดินทางไปได้เพียงเล็กน้อย)



          ครอบครัวโปโลทั้ง 3 คนออกเดินทางจากนครเยรูซาเลมในปี ค.ศ. 1272 และใช้เวลาเดินทางนานเกือบ 3 ปีครึ่ง จึงเดินทางถึงเมืองชางตู  (Shang-tu) ที่ประทับในฤดูร้อนของ กุบไลข่าน การเดินทางทางบกไปยังประเทศจีนในครั้งนี้ ครอบครัวโปโลได้เดินทางผ่านดินแดนต่างๆ มากมาย ได้แก่ อนาโตเลีย (เอเชียไมเนอร์) คอเคซัส ตะวันออกกลาง และเอเชียกลาง ก่อนที่จะข้ามที่ราบสูงพาเมียร์ (Pamir) ซึ่งมีความสูงกว่า 5,000 เมตร เป็นเสมือนหลังคาโลก มาร์โค โปโล ได้เล่าไว้ในบันทึกว่า ระหว่างที่เดินทางอยู่บนที่ราบสูงพาเมียร์ การจุดไฟหุงหาอาหารทำได้ยากมาก เนื่องจากจุดไฟไม่ค่อยติด บนท้องฟ้าก็ไม่ค่อยมีนกบินให้เห็น หลังจากที่สามารถปีนข้ามที่ราบสูงพาเมียร์ได้สำเร็จ ครอบครัวโปโลได้เดินทางข้ามทะเลทรายโกบี ซึ่งเป็นที่กล่าวขานถึงความน่ากลัวของภูตผีปีศาจ และความโหดร้ายของสภาพดินฟ้าอากาศ ภายหลังที่สามารถข้ามทะเลทรายโกบี ด่านสำคัญทางธรรมชาติด่านสุดท้ายได้สำเร็จ ครอบครัวโปโลก็สามารถเดินทางเข้าสู่เขตประเทศจีน (ตอนเหนือ) ซึ่งมาร์โค โปโล เรียกว่า คาเธย์ (Cathay) รวมระยะทางข้ามทวีปกว่า 5,600 ไมล์ 



          ในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1275 ครอบครัวโปโลเดินทางถึงเมืองชางตู (ประมาณ 180 ไมล์จากกรุงปักกิ่ง) ที่ประทับฤดูร้อนของกุบไลข่าน และได้เข้าเฝ้ากุบไลข่านที่นั่น กุบไลข่านทรงให้ความเอ็นดู มาร์โค โปโล ซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้ 21 ปี เป็นพิเศษ ทำให้มาร์โค โปโลได้มีโอกาสเข้าทำงานรับใช้กุบไลข่าน ในช่วงที่มองโกลปกครองประเทศจีน มองโกลให้ความไว้วางใจแก่ชาวต่างชาติมากกว่าคนจีน ภายหลังที่อยู่ประเทศจีนนานถึง 17 ปี ครอบครัวโปโลเริ่มเกิดความวิตกกังวลถึงอนาคตของพวกตน หากมีอะไรเกิดขึ้นกับกุบไลข่าน ซึ่งทรงชราภาพมากขึ้น (อายุใกล้ 80 พรรษา) ครอบครัวโปโลจึงได้เข้าไปกราบทูลกุบไลข่าน ขออนุญาตเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ในตอนแรกกุบไลข่านไม่ทรงอนุญาต อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1292 พระชายาของอาร์กุน (Arghun ) ข่านแห่งเปอร์เซีย ซึ่งเป็นเจ้าหญิงมองโกลสิ้นพระชนม์ อาร์กุนข่านจึงได้ส่งทูตมาขอให้กุบไลข่านส่งเจ้าหญิงมองโกลไปเป็นพระชายาองค์ใหม่ ครอบครัวโปโลจึงได้ขันอาสาพาเจ้าหญิงโคคาชิน (Kokachin) พระชนมายุ 17 พรรษาไปถวายให้แก่ข่านแห่งเปอร์เซีย กุบไลข่านจึงจำใจต้องอนุญาตให้ครอบครัวโปโลเดินทางนำเจ้าหญิงโคคาชินไปส่งให้ข่านแห่งเปอร์เซีย

          การเดินทางในครั้งนี้ได้ใช้เส้นทางเรือ โดยใช้เรือกำปั่นขนาดใหญ่ 14 ลำ บรรทุกผู้โดยสาร 600 คนเดินทางผ่านเกาะญี่ปุ่น อาณาจักรจามปา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน เกาะสุมาตรา เกาะนิโคบาร์ในมหาสมุทรอินเดีย เกาะลังกา เข้าสู่อ่าวเปอร์เซีย การเดินทางใช้เวลานานถึง 2 ปี ผู้โดยสารกว่า 600 คนเหลือชีวิตรอดถึงจุดหมายปลายทางได้เพียง 18 คน เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ พายุ และการปล้นของโจรสลัด คณะผู้ติดตามและเจ้าหญิงโคคาชินได้เดินทางถึงเปอร์เซียในปี ค.ศ. 1294 เมื่อเดินทางถึงจึงทราบภายหลังว่า อาร์กุนข่านได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เจ้าหญิงโคคาชินจึงได้เสกสมรสกับโอรสของอาร์กุนข่านแทน เป็นที่น่าเสียดายว่า เจ้าหญิงโคคาชินทรงใช้ชีวิตอยู่ที่เปอร์เซียได้เพียง 2 ปีก็สิ้นพระชนม์ ในระหว่างที่ครอบครัวโปโลพำนักอยู่ที่เปอร์เซียได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของกุบไลข่าน ภายหลังที่กุบไลข่านสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1294 อาณาจักรของมองโกลก็เริ่มเสื่อมอำนาจลงอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1368 มองโกลได้ถูกขับออกจากประเทศจีน 
ครอบครัวโปโลได้เดินทางจากเปอร์เซียทางบกสู่อนาโตเลีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงปลายสมัยไบแซนไทน์ ชาวมุสลิมเติร์กจากเอเชียกลางเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่อนาโตเลีย แต่ยังมิใช่ชนกลุ่มใหญ่ ตลอดการเดินทางในดินแดนภายใต้อิทธิพลของมองโกล ครอบครัวโปโล ซึ่งได้รับพระราชทานแผ่นป้ายทองคำจากกุบไลข่าน สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย สามารถขอรับเสบียงอาหารและพาหนะจากผู้ปกครองในดินแดนต่างๆภายใต้อิทธิพลของมองโกลได้ แม้ว่ากุบไลข่านจะได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ครอบครัวโปโลทั้ง 3 คนก็ยังสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย โดยอาศัยแผ่นป้ายทองดังกล่าว เมื่อเดินทางพ้นเขตอิทธิพลของมองโกลเข้าสู่เขตของชาวคริสเตียน ครอบครัวโปโลต้องประสบกับเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ คือ ถูกปล้นเงินที่สะสมได้มาจากการไปใช้ชีวิตที่ประเทศจีนนานถึง 17 ปี
          ภายหลังการเดินทางรอนแรมทั้งทางบกและทางทะเลเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ปี ครอบครัวโปโลก็เดินทางถึงบ้านเกิดที่เมืองเวนิส ในปี  ค.ศ. 1295 มาร์โค โปโล ในขณะนั้นอายุได้ 41 ปี       รวมระยะเวลาที่จากบ้านเกิดไปถึง 24 ปี ภายกลับถึงเมืองเวนิสได้ไม่นาน มาร์โค โปโล ถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมในสงครามระหว่างเมืองเวนิสและเมืองเจนัว ในปี ค.ศ. 1298 มาร์โค โปโลถูกจับเป็นเชลยศึกในคุกของเมืองเจนัวเป็นเวลาประมาณ 1 ปี ณ ที่นี้เอง มาร์โค โปโลได้พบกับนักเขียนชาวเมืองปิซา ชื่อ Rustichello ซึ่งได้ติดคุกอยู่ก่อนหน้าแล้ว มาร์โค โปโลได้เล่าเรื่องราวการเดินทาง และการใช้ชีวิตในประเทศจีนของตนให้นักเขียนผู้นี้ฟัง และได้บันทึกเป็นหนังสือชื่อ อรรถาธิบายเกี่ยวกับโลก”  (The Description of the World) หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า การเดินทางของมาร์โค โปโล”  (The Travel of Marco Polo) หนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในยุโรป ตั้งแต่สมัยที่มาร์โค โปโลยังมีชีวิตอยู่ และได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ แทบทุกภาษาในยุโรป

          เรื่องราวที่มาร์โค โปโลเล่าในหนังสือดังกล่าวค่อนข้างจะเหลือเชื่อ สำหรับคนในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความยิ่งใหญ่และมั่งคั่งของราชสำนักของกุบไลข่าน ความเจริญก้าวหน้าของประเทศจีนในสมัยนั้น เช่น การพิมพ์ การใช้ธนบัตรและตั๋วเงิน รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับพืช สัตว์ ขนบธรรมเนียมประเพณีของชนชาติต่างๆในดินแดน ซึ่งชาวยุโรปในสมัยนั้นยังไม่เคยได้มีโอกาสไปมาก่อน มาร์โค โปโลถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1324 สิริรวมอายุได้ 70 ปี ก่อนที่มาร์โค โปโลจะสิ้นลม ญาติสนิทมิตรสหายของมาร์โค โปโล ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้มาร์โค โปโล สารภาพความจริงว่า เรื่องราวที่มาร์โค โปโลเล่าไว้ในหนังสือของตนเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเอง มาร์โค โปโลได้ตอบกลับไปว่า ตนเล่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสิ่งที่ตนเองได้ไปเห็นมา เนื่องจากเกรงว่า คนจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเล่า ในพินัยกรรม มาร์โค โปโลได้ยกลิขสิทธิ์บันทึกการเดินทางของตนให้กับบุตรสาว 3 คน และได้ปล่อยทาสชาวมองโกล ซึ่งติดตามรับใช้มาร์โค โปโล มาจากประเทศจีน ให้เป็นอิสระ

          ตลอดระยะเวลากว่า 700 ปี บันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโลยังคงได้รับความสนใจจากนักเดินทางทุกยุคทุกสมัย รวมถึง คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ชาวเมืองเจนัว ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่หลงใหลเรื่องราวในบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่มาร์โค โปโลได้กล่าวถึงเกาะญี่ปุ่น และความมั่งคั่งของจักรพรรดิของญี่ปุ่น ซึ่งมีพระราชวังที่มีหลังคาทำด้วยทองคำ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเชื่อว่า การเดินทางไปยังเกาะญี่ปุ่นสามารถทำได้โดยการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งจะใช้เวลาสั้นกว่าประมาณไม่เกิน 3 สัปดาห์

          ในปี ค.ศ. 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ประสบความสำเร็จในการชักชวนให้พระเจ้าเฟอร์ดินาน และพระราชินีอิสเบลร่าแห่งสเปน สนับสนุนการเดินทางสำรวจของตน ตลอดการเดินทางคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสได้นำหนังสือบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล ติดตัวไปด้วยตลอดเวลา และได้นำพระราชสาส์นจากพระเจ้าเฟอร์ดินานถึงทายาทของกุบไลข่านไปด้วย แม้ว่าคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสจะไม่ประสบความสำเร็จในการเดินทางไปเกาะญี่ปุ่นดังที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ประสบความสำเร็จในการค้นพบโลกใหม่ คือ ทวีปอเมริกา โดยมิได้ตั้งใจ การค้นพบดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากมายทั้งในยุโรปและอเมริกา


แผนที่เส้นทางการเดินทางของมาร์โค โปโล




Post-Impressionism

Post-Impressionism

           ศิลปะแบบโพสต์ อิมเพรสชันมิสม์  จะมุ่งการแสดงออกทางความรู้สึก  อารมณ์  จิตวิญญาณมากกว่ามุ่งนำเสนอความเป็นจริงทางวัตถุ  สื่อผ่านการใช้สีที่รุนแรงและเกินความเป็นจริง โดยเน้นความพอใจของศิลปินเป็นหลัก ไม่ยึดถือกฏเกณฑ์ และธรรมเนียมใด ๆ ในอดีตเลย   สีที่ใช้นั้นจะสื่อถึงพลังที่ถูกบีบคั้นบังคับกดดันที่อยู่ในความรู้สึกนึก คิดของจิตใจคน  เป็นการปดปล่อยอารมณ์ผ่านสี และฝีแปรงที่ให้ความรู้สึกที่รุนแรงกดดัน ฝีแปรงที่อิสระ

ที่มาของ Post-Impressionism
เป็นคำที่คิดขึ้นโดยศิลปินและนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษโรเจอร์ ฟราย (Roger Fry) ในปี ค.ศ. 1910 เพื่อบรรยายศิลปะที่วิวัฒนาการขึ้นในฝรั่งเศสหลังสมัยเอดัวร์ มาแน จิตรกร อิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังยังคงสร้างงานศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ แต่ไม่ยอมรับความจำกัดของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ จิตรกรสมัยหลังจะเลือกใช้สีจัด เขียนสีหนา ฝีแปรงที่เด่นชัดและวาดภาพจากของจริง และมักจะเน้นรูปทรงเชิงเรขาคณิตเพื่อจะบิดเบือนจากการแสดงออก นอกจากนั้นการใช้สีก็จะเป็นสีที่ไม่เป็นธรรมชาติและจะขึ้นอยู่กับสีจิตรกรต้องการจะใช้
           ต่อมาฟรายให้คำอธิบายในการใช้คำว่า อิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังว่าเป็นการใช้  เพื่อความสะดวก ที่จำเป็นต้องตั้งชื่อให้ศิลปินกลุ่มนี้โดยใช้ชื่อที่มีความหมายกว้างที่ไม่บ่งเฉพาะเจาะจงถึงแนวเขียน ชื่อที่เลือกก็คือ Post-Impressionismเป็นการแสดงการแยกตัวของศิลปินกลุ่มนี้แต่ยังแสดงความสัมพันธ์บางอย่างกับขบวนการอิมเพรสชันนิสม์เดิม

การจัดช่วงเวลา
           เรวอลด์กล่าวว่าคำว่า ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังเป็นคำที่ตั้งขึ้นเพื่อความสะดวกและมิได้มีความหมายเฉพาะเจาะจงถึงลักษณะการเขียนแต่อย่างใด และเป็นคำที่ใช้ที่จำกัดเฉพาะทัศนศิลป์ของฝรั่งเศสที่วิวัฒนาการมาจากศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ตั้งแต่ ค.ศ. 1886 วิธีเขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังของเรวอลด์เป็นการเขียนตามที่เกิดขึ้นมิใช่เป็นการวิจัยลักษณะของศิลปะ เรวอลด์ทิ้งไวให้ศิลปะเป็นเครื่องตัดสินตัวเองในอนาคต[4] คำอื่นเช่นสมัยใหม่นิยม (Modernism) หรือลัทธิสัญลักษณ์นิยมก็เป็นคำที่ยากที่จะใช้เพราะเป็นคำที่ไม่เฉพาะเจาะจงกับศิลปะแต่ครอบคลุมสาขาวิชาอื่นด้วยเช่นวรรณกรรมหรือสถาปัตยกรรมและเป็นคำที่ขยายออกไปใช้ในหลายประเทศ

ลัทธิสมัยใหม่นิยม เป็นคำที่หมายถึงขบวนการทางศิลปะนานาชาติที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันตกที่เริ่มมาจากฝรั่งเศสและถอยหลังไปถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสจนถึงยุคภูมิปัญญา
ลัทธิสัญลักษณ์นิยม เป็นขบวนการที่เริ่มร้อยปีต่อมาในฝรั่งเศสและเป็นนัยว่าเป็นแนวที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล จิตรกรต่างก็ใช้สัญลักษณ์ในการเขียนไม่ว่าอย่างใดก็อย่างหนึ่งมากบ้างน้อยบ้าง

แอแลน โบวเนส (Alan Bowness) ยืดเวลา ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังไปจนถึง ค.ศ. 1914 แต่จำกัดการเขียนในฝรั่งเศสลงไปอย่างมากในคริสต์ทศวรรษ 1890 ประเทศยุโรปอื่น ๆ ใช้มาตรฐานของ ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังส่วนศิลปะของยุโรปตะวันออกไม่รวมอยู่ในกลุ่มนี้
แม้ว่า ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังจะแยกจาก ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ใน ค.ศ. 1886 แต่จุดจบของ ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังยังไม่เป็นที่ตกลงกัน สำหรับโบวเนสและเรวอลด์แล้ว ลัทธิคิวบิสม์เป็นการเริ่มยุคใหม่ ฉะนั้นลัทธิคิวบิสม์จึงถือว่าเป็นการเริ่มยุคการเขียนใหม่ในฝรั่งเศสตั้งแต่ต้นและต่อมาในประเทศอื่น ขณะเดียวกันศิลปินยุโรปตะวันออกไม่คำนึงถึงการแบ่งแยกตระกูลการเขียนที่ใช้ในศิลปะตะวันตกก็ยังเขียนตามแบบที่เรียกว่าจิตรกรรมแอ็บสแตร็ค และอนุตรนิยม (Suprematism)—ซึ่งเป็นคำที่ใช้ต่อมาจนในคริสต์ศตวรรษที่ 20

ศิลปินในกลุ่มนี้ได้แก่

แวนโกะ (Vincent Van Gogh)


Pierre Bonnard


Paul Cezanne


Paul Gauguin


ภาพวาดในสมัย Post-Impressionism




The Starry Night Van Goh 1889



Paul Cezanne. The Cardplayers. 1885-1890




Paul Gauguin.
Where do we come from ? What are we? Where are we going? 1897






Baroque and Rococo Art




ศิลปะบารอกและรอกโกโก (Baroque and Rococo Art)



            ศิลปะบารอกและรอกโกโก (Baroque and Rococo Art )  คำว่า Baroque และ Rococo ในปัจจุบัน หมายถึง สิ่งที่มีการตกแต่งประดับประดาด้วยเครื่องอลังการ วิจิตรพิสดารจนเกินงาม เป็นศิลปะตอนปลายสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาเชื่อมต่อกับศิลปะยุคใหม่ ศิลปะแบบบารอกและรอกโกโก เป็นลักษณะการจัดองค์ประกอบของศิลปะที่เน้นรายละเอียดส่วนย่อยอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะการใช้ส่วนโค้ง ส่วนเว้า งานจิตรกรรม และประติมากรรม ยังคงเน้นรูปร่าง รูปทรงธรรมชาติ (Realistic) แต่ใช้สีรุนแรงขึ้น งานสถาปัตยกรรมประกอบด้วยเส้นโค้งมนตกแต่งโครงสร้างเดิม มีลวดลายอ่อนช้อย งดงาม อาคารที่ถือเป็นแบบฉบับของศิลปะบารอก และรอกโกโก ได้แก่ โบสถ์เซนต์แอกเนส (Church of St. Agnese) โบสถ์เซนต์คาร์โล (Church of St. Carlo) ที่กรุงโรม พระราชวังแวร์ซาย (Versailes palace) ในประเทศฝรั่งเศส โบสถ์ทั่วไปในยุโรปตอนเหนือ เช่นในประเทศเนเธอร์แลนด์และประเทศเยอรมนี เป็นต้น กลับด้านบน

 สมัยบารอค (Baroque) ค.ศ. 1550 - 1750
            ศูนย์กลางอยู่ที่โรม "บารอค" หมายถึง ความผิดปกติ ไม่ถูกต้องตามระเบียบไม่สม่ำเสมอ ตามปกติเป็นคำที่ใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ในเชิงดูหมิ่นดูแคลนต่อสิ่งที่หรูหรา ฟุ้งเฟ้อจนเกินความพอดี   คาราวัคจีโอ (Caravaggio)   เบอร์นินี่ (Bernine )        
ประติมากร  การจัดลีลาท่าทาง เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงของรูปสลัก รูปคน ของเบอร์นินี่ ถ้าไม่แสดงอาการพูดก็ต้องตะโกนหรือแสดงอาการต่าง ๆ
สถาปัตยกรรมบาโรคของอิตาลี  พระราชวังลูฟว์พระราชวังแวร์ซายส์ (Versalles)
สเปน - เบลลาสเกซ หรือเวลาสเกซ (Velasques)
ศิลปกรรมเฟลมมิช รูเบนส์ (Rubens) ฟาน ไดค์ หรือ ฟาน เดค (Van Dyck)

ศิลปะก่อนเข้าสู่ศิลปะสมัยใหม่
            ศิลปะโรโกโก (Rococo) คริสศตวรรษที่ 18รูปแบบศิลปกรรมโรโกโกแสดงถึงความต้องการและรสนิยมของชนชั้นสูง ศิลปะโรโกโกเสื่อมลงพร้อมการล่มสลายของราชวงศ์บูร์บองและการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศสคำว่า โรโกโก หมายถึง การตกแต่งภายในอาคารและรูปลักษณะของลวดลายที่ปรากฎในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ราว ค.ศ. 1700 จุดเด่นของศิลปะโรโกโก อยู่ที่การตกแต่งภายในและสิ่งของเล็ก ๆ การออกแบบเครื่องเรือน เครื่องมือเครื่องใช้ รูปทรงบอบบาง ประดับลวดลายเป็นเส้นคดเคี้ยวคล้ายคลื่นน้ำหรือขมวดคล้ายก้นหอย
            ศิลปกรรมรอคโกโกเป็นศิลปกรรมที่ปรากฏอยู่ในยุโรป ช่วงคริสตศตวรรษ 18 เป็นแบบอย่างอีกแบบหนึ่งของบารอค หรือผลจากพัฒนาการของศิลปกรรมบารอค ศิลปกรรมรอคโกโกมีความเด่นชัดในประเทศฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แล้วแพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ มีลักษณะคล้ายคลึงกับของบารอคคือ โครงสร้างที่เป็นเส้นโค้งอ่อนหวาน แต่จะเน้นรายละเอียดและมีขนาดเล็กมากกว่า ดังนั้นศิลปกรรมรอคโกโกส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นศิลปกรรมประเภทเพื่อตกแต่งผนังในห้องพักผ่อนและห้องแต่งตัวต่าง ๆ
          จิตรกรรมของรอคโกโกนั้นมีลักษณะไม่แตกต่างจากงานประดับทั่วไป คือการเน้นรายละเอียด เพื่อเน้นให้เกิดความหลงใหลในบรรยากาศแห่งภาพนั้น ๆ มากกว่าการรับรู้ความเป็นจริงและความถูกต้องตามความเป็นจริง

ศิลปกรรมตะวันตกก่อนเข้าสู่ศิลปกรรมสมัยใหม่  ( ศิลปกรรมบารอคและรอคโกโก)
          ศิลปกรรมบารอคและรอคโกโกเป็นศิลปกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายของศิลปกรรมเรอนาซอง ซึ่งเป็นการสร้างงานศิลปะที่มีรูปแปลกแยกไปจากระเบียบกฏเกณฑ์ ดั่งศิลปะแบบเรอนาซองเคนถือปฏิบัติภายหลังจากศิลปกรรมเรอนาซองวิวัฒน์ถึงยุคสมัยสุดท้ายศิลปกรรม
บารอค-รอคโคโค(Baroque-Rococo Art)
                ศิลปะแบบบารอคจะเน้นหนักไปทางธรรมชาติ แสดงความอ่อนไหว มีลวดลายประดิษฐ์มาก ซับซ้อน     คำว่า บาโรค มาจากภาษาโปรตุเกส ที่แปลว่า รูปร่างของไข่มุกที่มีสัณฐานเบี้ยว เป็นคำที่ใช้เรียกลักษณะงานสถาปัตยกรรม และจิตรกรรมที่มีการตกแต่งประดับประดา และให้ความรู้สึกอ่อนไหว    หลังจากบารอคก็มีศิลปะแบบ รอคโคโค ตามมา มีลักษณะคล้ายคลึงกับบาโรคเพียงแต่เน้นที่ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น จิตรกรที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ได้แก่ รูเบนส์ , เรมบรานด์ , เวลาสเควซ เป็นต้น      ศิลปะในแบบบาโรค และรอคโคโคนั้นใกล้เคียงกันมาก มีบางคนได้เปรียบเปรยว่า ถ้าบาโรคเหมือนกับบุรุษเพศที่มีความองอาจ สง่างาม รอคโคโคก็เหมือนกับสตรีเพศที่มีความงดงามที่นุ่มนวลและอ่อนช้อย คำกล่าวนี้คงจะพอทำให้เข้าใจถึงศิลปะทั้งสองแบบได้ดียิ่งขึ้น

ช่วงที่ 2  บารอค-รอคโคโค(Baroque-Rococo Art)
                ศิลปะแบบบารอคจะเน้นหนักไปทางธรรมชาติ แสดงความอ่อนไหว มีลวดลายประดิษฐ์มาก ซับซ้อน

ระยะเวลาของลัทธิ
     คำว่า "สไตล์ร็อคโกโก" อธิบายถึงการเคลื่อนไหวในศิลปะในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ในฝรั่งเศส  สถาปัตยกรรมแบบหนึ่งได้เกิดมาจาก บาร็อค ยุคในช่วงอายุของการตรัสรู้ นั่นเป็นช่วงเวลาที่ความคิดใหม่เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์มีการแนะนำและ ศิลปะสไตล์ร็อคโกโกสามารถเห็นภาพของคนมองในแง่ดีรู้สึกในการตอบสนองต่อว่า



The Swing ถือได้ว่าเป็นการบ่งบอกถึงความเป็น Baroque-Rococo Art อย่างแท้จริง


สถาปัตยกรรม Baroque-Rococo Art
คำว่า"สถาปัตยกรรมแบบหนึ่ง"มาจาก"rocaille"หมายถึง"งานหิน"หรือ"ทำงาน เปลือก"แม่ลายโปรดของหมดจดประดับไฟ, สบาย ๆ , การออกแบบที่ผิดปกติ สไตล์ร็อคโกโกเส้นโค้งคล้ายเปลือกและมุ่งเน้นการมัณฑนศิลป์นักวิจารณ์บาง ส่วนที่ใช้ระยะเพื่อ บ่งบอกถึงว่ารูปแบบการถูกไม่สำคัญหรือตามสมัยนิยมเท่านั้น  เมื่อระยะถูกใช้ครั้งแรกในภาษาอังกฤษ 1836  อย่างไรก็ตามตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19, ยาวได้รับการยอมรับโดย นักประวัติศาสตร์ศิลปะ ในขณะที่ยังคงมีการอภิปรายเกี่ยวกับความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของรูปแบบกับ ศิลปะโดยทั่วไปบางสไตล์ร็อคโกโกขณะนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น ช่วงเวลาที่สำคัญในการพัฒนาของศิลปะยุโรป
           สถาปัตยกรรมแบบหนึ่งคือเห็นทั้งสองเป็นจุดสำคัญและตกของศิลปะบาร็อค  หลังจากที่ทำงานหนักที่สร้างในสไตล์บาร็อคศิลปินที่มีความพร้อมสำหรับการ เปลี่ยนแปลง สไตล์ร็อคโกโกอย่างเป็นชีวิตปฏิกิริยากับแกรนด์"ลักษณะ"ของศิลปะบาร็อคที่มี การระบุหลักการและความแข็งแกร่งของศาล ลักษณะการเคลื่อนไหวต่อเสน่ห์มากขึ้นเบาเริ่มขึ้นในฝรั่งเศสที่ตกแต่ง สถาปัตยกรรม) Louis XIV ปลายของรัชสมัย (d.1715 และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั่วยุโรป ในระหว่าง XV รีเจนซี่ของดยุคแห่ง Orleans, รีเจ้นท์สำหรับทายาทน้อยหลุยส์, พิธีการของศาลให้ทางเพื่อบรรยากาศสบาย ๆ และใกล้ชิดมากขึ้น ศิลปะสไตล์ร็อคโกโก โลกของการ, ทำให้เชื่อ, และเกมการเล่น แม้ว่าจะเป็นทางการน้อยลงก็คือชนชั้นสูงเป็นหลักศิลปะและความสำคัญของสิ่ง ที่ดูเหมือนตอนนี้จะได้รับไลฟ์สไตล์ และผ่อนปรนของชนชั้นสูงมากกว่าความเลื่อมใสศรัทธา, จริยธรรม, ระเบียบวินัยในตนเองมีเหตุผลและความเป็นคนเก่ง (ทั้งหมดที่สามารถพบได้ใน บาร็อค)




แนวคิดของลัทธิ
สถาปัตยกรรม แบบหนึ่งพัฒนาครั้งแรกในศิลปะและการออกแบบตกแต่งภายใน Louis XIV สืบทอด s'นำมาเปลี่ยนในศิลปินศาลและแฟชั่นศิลปะทั่วไป โดยเมื่อสิ้นรัชกาลของพระมหากษัตริย์ยาวของการออกแบบรวยบาร็อคมีให้กับองค์ ประกอบทางเบากับเส้นโค้งมากขึ้นและรูปแบบธรรมชาติ  องค์ประกอบเหล่านี้จะเห็นได้ชัดในการออกแบบสถาปัตยกรรมของ นิโคลัส ในระหว่าง Régence ชีวิตศาลย้ายออกจาก แวร์ซาย และการเปลี่ยนแปลงนี้กลายเป็นศิลปะดีขึ้นครั้งแรกในราชสำนักแล้วทั่วทั้ง สังคมชั้นสูงฝรั่งเศส กินอาหารอร่อย ๆ และความสนุกสนานของการออกแบบสไตล์ร็อคโกโกเห็นมักจะเป็นอย่างสมบูรณ์แบบใน การปรับกับ excesses รัชสมัยของ Louis XV


สไตล์สไตล์ร็อคโกโกเป็น ลักษณะสีดินสอสี
, รูปแบบโค้งได้อย่างสง่างามละเอียดอ่อน, ตัวเลขเพ้อฝันและอารมณ์เบิกบานใจ (สายตาและทางร่างกาย)  ศิลปะสาระสำคัญของการเป็นสไตล์ร็อคโกโกไฟ ไฮไลท์จะอยู่เกี่ยวกับเรื่องและงานโดยรวมเป็นสีอ่อนผลและอารมณ์  ศิลปินให้ความสนใจเป็นพิเศษในรายละเอียดดี  แบบฟอร์มเป็นตัวความละเอียดอ่อนของสีองค์ประกอบแบบไดนามิกและผลกระทบของ บรรยากาศ
จะถือเป็นหนึ่งในจิตรกรสไตล์ร็อคโกโกครั้งแรก เขามักจะสร้างองค์ประกอบไม่สมดุล ยอดเงินนี้เป็นประเภทของความสวยงามของไม่เพียง แต่เป็นส่วนสำคัญของศิลปะสไตล์ร็อคโกโก แต่การออกแบบโดยทั่วไปรูปแบบและที่มาThe 1730s represented the height of Rococo development in France.  1730s แสดงความสูงของการพัฒนาสไตล์ร็อคโกโกในประเทศฝรั่งเศส ลักษณะมีการแพร่กระจายเกินกว่าสถาปัตยกรรมและเฟอร์นิเจอร์เพื่องานจิตรกรรม และประติมากรรม, โดยผลงานของ Antoine Watteau และ François Boucher สถาปัตยกรรมแบบหนึ่งยังคงมีรสชาติบาร็อคสำหรับรูปแบบที่ซับซ้อนและรูปแบบ สลับซับซ้อน แต่โดยจุดนี้มันก็เริ่มที่จะรวมความหลากหลายของลักษณะที่หลากหลายรวมทั้งรส ชาติสำหรับการออกแบบและองค์ประกอบไม่สมมาตรโอเรียนเต็ล



การแพร่กระจายแบบสไตล์ร็อคโกโกร่วมกับศิลปินฝรั่งเศสและสิ่งพิมพ์แกะสลัก จะได้รับพร้อมในส่วนคาทอลิกของ เยอรมนี , โบฮีเมีย และ ออสเตรีย ซึ่งมันเป็นที่ผสานกับประเพณีที่มีชีวิตชีวาบาร็อคเยอรมัน เยอรมันสไตล์ร็อคโกโกถูกนำมาใช้กับคริสตจักรที่มีความกระตือรือร้นและ พระราชวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ในขณะที่ Frederician สไตล์ร็อคโกโก พัฒนาขึ้นใน ราชอาณาจักรปรัสเซีย .  สถาปนิกมักจะตกแต่งภายในของพวกเขา draped ในเมฆของปูนปั้นสีขาวเป็นปุยใน อิตาลี , สไตล์บาร็อคสายของ Borromini และ Guarini ชุดเกาะซีซิลิเสียงสำหรับสไตล์ร็อคโกโกในตูริน, เวนิส, เนเปิลส์และในขณะที่ศิลปะในกรุงโรม Tuscany และยังคง wedded มากขึ้นเพื่อบาร็อค


Mr and Mrs Andrews Thomas Gainsborough (1727–1788)

ในสหราชอาณาจักรสไตล์ร็อคโกโกถูกคิดตลอดเวลาของการเป็น"รสฝรั่งเศส"และก็ ไม่เคยนำมาใช้อย่างกว้างขวางว่าเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรม แต่อิทธิพลที่มีสามารถรับความรู้สึกอย่างมากในด้านต่างๆเช่น silverwork, พอร์ซเลนและเส้นไหม, และ Thomas Chippendale เปลี่ยนการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ของอังกฤษผ่าน สไตล์ของเขาปรับตัวและการปรับแต่งของ William Hogarth ช่วยพัฒนารากฐานทางทฤษฎีเพื่อให้ความงามสไตล์ร็อคโกโก แต่ไม่เจตนาอ้างอิงการเคลื่อนไหวเขาโต้เถียงใน S ของเขาการวิเคราะห์ความงาม (1753) ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ - เส้นโค้งเส้นและที่โดดเด่นในสไตล์ร็อคโกโกมีพื้นฐานความโปรดปรานและความงาม ในศิลปะหรือธรรมชาติ (ไม่เหมือนเส้นตรงหรือในวงกลม ศิลปะแบบคลาสสิค ) การพัฒนาของสไตล์ร็อคโกโกในสหราชอาณาจักรจะถือได้รับการเชื่อมต่อกับ การฟื้นตัว ของความสนใจใน สถาปัตยกรรมกอธิค ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18


สถาปัตยกรรมแบบหนึ่งจุดเริ่มต้นสำหรับการสิ้นสุดมาในช่วงต้น 1760s กับตัวเลขเช่น Voltaire และ Jacques - François Blondel เริ่มด้วยเสียงและการวิจารณ์ของพวกเขาไม่สำคัญของความเสื่อมของศิลปะ Blondel decried"สับสนไร้สาระของหอย, มังกร, พง, ต้นปาล์มและพืช"ในการตกแต่งภายในร่วมสมัย [1] .  By 1785, สไตล์ร็อคโกโกได้ผ่านออกมาจากแฟชั่นในฝรั่งเศสแทนที่ด้วยคำสั่งซื้อและความ จริงจังของศิลปินนีโอคลาสสิคเหมือน Jacques Louis David . ในเยอรมันช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เป็นสไตล์ร็อคโกโก riduculed เป็น Zopf und Perücke ("หางหมูและ periwig") และระยะนี้เป็นบางครั้งเรียกว่า Zopfstil สถาปัตยกรรมแบบหนึ่งที่นิยมอยู่ในต่างจังหวัดและในอิตาลีจนถึงระยะที่สองของ neoclassicism," รูปแบบเอ็มไพร์ "มาถึงนโปเลียนกับรัฐบาลและออกไปกวาดสไตล์ร็อคโกโก


Francois Boucher, The Fountain of Love 1748

มีความสนใจซึ่งได้ทำใหม่ในสไตล์สไตล์ร็อคโกโกอยู่ระหว่าง 1820 และ 1870  อังกฤษในหมู่คนแรกที่ฟื้น"สไตล์หลุยส์ XIV"ตามเดิม miscalled ที่แรกและจะจ่ายราคาที่สูงขึ้นสำหรับมือสองสินค้าหรูหราสไตล์ร็อคโกโกที่อาจ ไม่น่าจะถูกขายในกรุงปารีส แต่ศิลปินที่โดดเด่นชอบ Delacroix และคุ้มครองเช่น ดิเอ็มเพรส Eugénie ยัง rediscovered ความสนุกสนานค่าของความงามและในศิลปะและการออกแบบ

ศิลปินในแนวทางของลัทธิ
แต่ มาในสไตล์ร็อคโกโกมัณฑนศิลป์หมดจดสไตล์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในการวาด ภาพ จิตรกรเหล่านี้จะใช้สีที่ละเอียดอ่อนและรูปแบบโค้ง, ผืนผ้าใบของพวกเขาตกแต่งด้วย cherubs และตำนานแห่งความรัก รูปคนยังเป็นที่นิยมในหมู่จิตรกรสไตล์ร็อคโกโก  ผลงานโดยแสดงเรียงลำดับของความซนหรือความไม่บริสุทธิ์ในพฤติกรรมของกลุ่ม ตัวอย่างของพวกเขาทั้งแสดงให้เห็นแนวโน้มทางประวัติศาสตร์ของออกไปจากคริสต จักรของการวางแนวบาร็อค / รัฐ Landscapes ได้อภิบาลและนอกสถานที่ที่ปรากฎมักจะไม่รีบร้อนของคู่สามีภรรยาที่มีลักษณะ ของชนชั้นสูง

ในช่วงยุคสไตล์ร็อคโกโก รูปคน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการวาดภาพในทุกประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราช อาณาจักรซึ่งมีผู้นำ William Hogarth (1697-1764) ในรูปแบบเปิดเผย ความจริงและ ฟรานซิส Hayman (1708-1776), Angelica Kauffman ผู้ที่เป็นสวิส (1741-1807), Thomas Gainsborough และ Joshua Reynolds (1723-1792), Antony Van Dyck (1599-1641)
ในขณะที่ในประเทศฝรั่งเศสในยุคสไตล์ ร็อคโกโก Jean - Baptiste Greuze ผู้เป็นจิตรกรที่ชื่นชอบของ Denis Diderot (1713-1785),  Maurice Quentin de La Tour (1704-1788) และ Elisabeth Vigée - Lebrun ได้ประสบความสำเร็จอย่างสูง จิตรกรภาพเหมือน และ จิตรกรประวัติ



วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555



Russia Country



ประวัติความเป็นมาของสหพันธรัฐรัสเซีย

 

ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มขึ้นด้วยชาวสลาฟตะวันออก ผู้ถือกำเนิดขึ้นเป็นกลุ่มที่โดดเด่นได้ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงที่ 8  รัฐ ในสมัยกลาง ซึ่งก่อตั้งและปกครองโดยอภิชนนักรบวารันเจียนและผู้สืบเชื้อสาย เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ใน พ.ศ. 1531 มีการรับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซจากจักรวรรดิไบแซนไทน์เริ่มต้นการประสมวัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งนิยามวัฒนธรรมรัสเซียเป็นเวลาอีกสหัสวรรษหน้า  ท้ายที่สุด  รัฐล่มสลายเป็นรัฐขนาดเล็กหลายรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ขอรัฐถูกพิชิตโดยการรุกรานของมองโกล และกลายเป็นรัฐบรรณาการของโกลเดนฮอร์ด เร่ร่อน อาณาจักรแกรนด์ ยุคแห่งมอสโกค่อย ๆ รวมราชรัฐรัสเซียในละแวก ได้รับเอกราชจากโกลเดนฮอร์ด และมาครอบงำมรดกทางวัฒนธรรมและการเมืองของเคียฟรุส จนคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางผ่านการพิชิตดินแดน การผนวก และการสำรวจเป็นของจักรวรรดิรัสเซีย นับเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ แผ่จากโปแลนด์ในยุโรปจรด อลาสกาในอเมริกาเหนือ
หลังการปฏิวัติรัสเซีย รัสเซียกลายมาเป็นสาธารณรัฐใหญ่ที่สุดและผู้นำในสหภาพโซเวียต เป็นรัฐสังคมนิยมมีรัฐธรรมนูญแห่งแรกของโลกและอภิมหาอำนาจที่ได้การยอมรับ  ซึ่งมีบทบาทสำคัญในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง   สมัยโซเวียตได้ประสบความสำเร็จทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศตวรรษ ที่ 20 รวมทั้งการส่งมนุษย์

คนแรกขึ้นสู่อวกาศ สหพันธรัฐรัสเซียก่อตั้งขึ้นหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534 แต่ได้รับการยอมรับเป็นสภาพบุคคลสืบทอดจากสหภาพโซเวียต รัสเซียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับที่ 11 ของโลกโดยจีดีพีมูลค่าตลาด หรือใหญ่ที่สุดอันดับที่ 6 โดยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ โดยมีงบประมาณทางทหารมากที่สุดอันดับที่ 5 ของโลก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจธุรกิจจัดอันดับรัสเซียเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกใน พ.ศ. 2554 ขึ้นจากอันดับที่ 10 ใน พ.ศ. 2553 รัสเซียเป็นหนึ่งในห้ารัฐอาวุธนิวเคลียร์ที่ได้รับการรับรองและครอบครองคลัง แสงอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงใหญ่ที่สุดในโลก  รัสเซียเป็นมหาอำนาจและสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สมาชิกจี 8 จี 20 สภายุโรปและความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ประชาคมเศรษฐกิจยูเรเซีย องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป องค์การการค้าโลก และเป็นสมาชิกผู้นำเครือจักรภพรัฐเอกราช


สภาพทางภูมิศาสตร์
ดินแดนอันกว้างใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซียครอบคลุมพื้นที่แถบ ตะวันออกเฉียงเหนือเหนือของทวีปยูเรเชีย จุดที่ห่างไกลกันที่สุดของรัสเซีย ซึ่งได้แก่ชายแดนที่ติดต่อกับโปแลนด์และหมู่เกาะคูริล มีระยะห่างถึง 8,000 กิโลเมตร ทำให้รัสเซียมีถึง 11 เขต เวลารัสเซียมีเขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในโลกและถูกเรียกว่าเป็น "ปอดของยุโรป"เพราะปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซึมนั้นเป็นรองเพียงแค่ป่า ดิบชื้นแอมะซอนเท่านั้นรัสเซียมีทางออกสู่มหาสมุทรถึงสามแห่ง ได้แก่มหาสมุทรแอตแลนติก อาร์กติก และแปซิฟิก จึงทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของสินค้าประมงในโลก  พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ทางตอนใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสเตปป์ มีป่าไม้มากทางตอนเหนือ และมีพื้นที่แบบทุนดราตามชายฝั่งทางเหนือ เทือกเขาจะอยู่ตามชายแดนทางใต้ เช่นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งมียอดเขาเอลบรุส ที่มีความสูง 5,642 เมตร และเป็นจุดสูงสุดของรัสเซียและยุโรป หรือเทือกเขาอัลไต และทางตะวันออก เช่นเทือกเขาเวอร์โฮยันสค์ หรือภูเขาไฟในแหลมคัมชัตคา เทือกเขาอูรัลทางตะวันตกวางตัวเหนือใต้และเป็นเขตแดนทางธรรมชาติของทวีป เอเชียและทวีปยุโรป รัสเซียมีชายฝั่งที่ยาวถึง 37,000 กิโลเมตร ตามแนวมหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลบอลติก ทะเลอะซอฟ ทะเลดำ และทะเลแคสเปียนนอกจากนั้น รัสเซียยังมีทางออกสู่ทะเลแบเร็นตส์ ทะเลขาว ทะเลคารา ทะเลแลปทิฟ ทะเลไซบีเรียนตะวันออก ทะเลชุกชี ทะเลเบริง ทะเลโอค็อตสก์ และทะเลญี่ปุ่น เกาะและหมู่เกาะที่สำคัญได้แก่ หมู่เกาะโนวายาเซมเลีย หมู่เกาะฟรัสซ์โยเซฟแลนด์ หมู่เกาะเซเวอร์นายาเซมเลีย หมู่เกาะนิวไซบีเรีย เกาะแวรงเกล เกาะคูริล และเกาะซาคาลิน เกาะดีโอมีด (ซึ่งเกาะหนึ่งปกครองโดยรัสเซีย ส่วนอีกเกาะปกครองโดยสหรัฐอเมริกา) อยู่ห่างกันเพียง 3 กิโลเมตร และเกาะคุนาชิร์ก็อยู่ห่างจากฮอกไกโดเพียงประมาณ 20 กิโลเมตร


ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสหพันธรัฐรัสเซีย
ธงประจำชาติ


เมืองหลวง : กรุงมอสโก (ประชากร 10,126,424 คน)                                                             
พื้นที่ : 17,075,200 ตารางกิโลเมตร ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ( ใหญ่กว่าประเทศไทยราว 33 เท่า ) โดยมีระยะทางจากด้านตะวันออกจรดตะวันตก 9,000 กิโลเมตร และจากด้านเหนือจรดใต้มีระยะทาง 4,000 กิโลเมตร                                                                                                  
ภูมิอากาศ : มี 2 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อนและฤดูหนาว และเนื่องจากเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ระดับอุณหภูมิจะแตกต่างตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ อุณหภูมิโดยเฉลี่ยทั้งปีของรัสเซียฝั่งยุโรป ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส                                                                                                                           
ภาษาราชการ : ภาษารัสเซีย                                                                                                    
ศาสนา : ส่วนใหญ่นับถือคริสตศาสนานิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย (ร้อยละ 70) ที่เหลือนับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 5.5) คริสตศาสนานิกายคาธอลิก (ร้อยละ 1.8) และพุทธศาสนานิกายมหายาน (ร้อยละ 0.6)                                                                                                            
หน่วยเงินตรา : รูเบิล(Russian ruble-RUR) 1ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 25.57 รูเบิล (ค่าเฉลี่ยปี 2550)ระบอบการปกครอง : สหพันธรัฐ ประกอบด้วยหน่วยการปกครอง 84 หน่วย แบ่งเป็น 21 สาธารณรัฐ (Republic) 8 เขตการปกครอง (Krai) 47 มณฑล (Oblast) 2 นคร (Federal cities) ได้แก่ กรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งมีสถานภาพเดียวกับมณฑล 5 ภาคปกครองตนเอง (Autonomous Okrug) และ 1 มณฑลปกครองตนเอง (Autonomous Oblast)


สถานที่ท่องเที่ยวในรัสเซีย

จัตุรัสแดง

จัตุรัสแดง เป็นจัตุรัสกลางเมืองของของกรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย จัตุรัสแดงมีขนาดกว้าง 70 เมตร ยาว 695 เมตร มีขนาดพื้นที่รวม 23,100 ตารางเมตร จัตุรัสแดงอาจถือได้ว่าเป็นจัตุรัสกลางกรุงมอสโกและทั้งประเทศรัสเซียเพราะถนนสายสำคัญทุกสายของกรุงมอสโกจะวิ่งตรงออกจากจัตุรัสแดงแห่งนี้ นอกจากนี้ จัตุรัสแดงยังเป็นสถานที่ตั้งของมหาวิหารเซนต์เบซิล และหลุมฝังศพ ของวลาดิมีร์ เลนินอีกด้วย ชื่อจัตุรัสแดงมักเข้าใจผิดว่า คำว่า "แดง" ในชื่อจัตุรัส มาจากสีของคอมมิวนิสต์ หรือสีของอิฐในบริเวณนั้นที่เป็นสีแดง แต่แท้จริงแล้วชื่อจัตุรัสแดง มาจากภาษารัสเซีย คำว่า красный   ซึ่งในภาษารัสเซียดั้งเดิมมีความหมายว่า สวยงาม ในขณะที่ภาษารัสเซียสมัยใหม่ แปลว่า  สีแดง
ประวัติสถานที่
จัตุรัสแดงถูกตั้งขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 ภายใต้พระราชโองการของพระเจ้าอีวานมหาราช การสร้างจัตุรัสแดงนี้มีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยของพระราชวังเครมลินโดยการสร้างพื้นที่นอกกำแพงวังสำหรับใช้ยิงเพราะตำแหน่งที่จัตุรัสแดงตั้งอยู่นั้นขาดแนวป้องกันทางธรรมชาติ โดยพื้นที่ของจัตุรัสแดงในสมัยนั้นถือเป็นศูนย์กลางของการค้าขาย ต่อมาในสมัยของพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 มหาวิหารเซนต์เบซิล มหาวิหารที่ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของจัตุรัสแดงในปัจจุบันก็ได้ถูกสร้างขึ้น หลังจากนั้นจัตุรัสแดงก็ถูกปรับปรุงพื้นที่เรื่อยมา จนกระทั่งหลังจากการรุกรานของฝรั่งเศสโดยนโปเลียน มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น อาคารบางหลังและสิ่งปลูกสร้างสำหรับการค้าขายซึ่งถูกไฟไหม้ได้ถูกรื้อถอนออกและมีการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นแทน อาทิเช่น รถราง การประดับด้วยโคมไฟ ห้างสรรพสินค้า GUM เป็นต้น    
สมัยสหภาพโซเวียต จัตุรัสแดงใช้เป็นที่สำหรับการเดินสวนสนามแสดงแสนยานุภาพทางทหาร โดยจะมีการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารสำหรับวันเมย์เดย์, วันแห่งชัยชนะ และการปฏิวัติเดือนตุลาคม การเดินขบวนที่เด่น ๆ มีอยู่ 2 เหตุการณ์คือการเดินขบวนในปี ค.ศ. 1941 ซึ่งในเวลานั้น สหภาพโซเวียตกำลังถูกรุกรานโดยนาซีเยอรมนี ทหารที่มาเดินขบวนนั้น หลังเสร็จสิ้นการเดินขบวนก็ถูกส่งตรงจากจัตุรัสแดงไปแนวหน้าทันที และอีกครั้งคือการเดินขบวนใน ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นการเดินฉลองชัยชนะหลังจากที่นาซีเยอรมนียอมแพ้ต่อสหภาพโซเวียตแล้ว    ต่อมาในปัจจุบัน จัตุรัสแดงถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการจัดแสดงของศิลปินและวงดนตรีชื่อดังหลายกลุ่มเช่น ชากีรา วงสกอร์เปียนส์ พอล แม็กคาร์ตนีย์ เป็นต้น นอกจากนี้ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 รัสเซียได้ประกาศว่าจะกลับมาเดินขบวนอีกครั้งและในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ก็ได้มีการเดินขบวนเป็นครั้งแรกหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ล่าสุดในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 ในโอกาสครบรอบ 65 ปีของการยอมรับความพ่ายแพ้ของเยอรมนี กองทหารจากฝรั่งเศส โปแลนด์ และสหราชอาณาจักรได้ร่วมกันเดินสวนสนามในวันแห่งชัยชนะที่มอสโกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์


วิหารเซ็นไอแซค

วิหารเซ็นไอแซค (St. Isaac's Cathedral) เป็นมหาวิหารที่ตั้งอยู่ที่เมืองเซ็นปีเตอร์เบิร์ก ประเทศรัสเซีย เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1818 แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1858 เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่สวยที่สุดของรัสเซีย สร้างในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส Auguste de Montferrand ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 40 ปี ประกอบด้วยเสาหินแกรนิต 48 ต้น น้ำหนักต้นละ 114 ตัน ถายในประดับประดาด้วยปฏิมากรรมบอร์น และภาพวาดกว่า 400 ชิ้น โดมทองอันสง่างามที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองด้วยขนาดมหึมาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 25.8 เมตรซึ่งเป็นอันดับที่ 4 ของโลกรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม มหาวิหารเซนต์ปอลที่ลอนดอน และมหาวิหาร "สตา เดล ฟีออเร" ที่ฟลอเรนซ์

ประวัติของมหาวิหารเซนต์ไอแซค
มีมายาวนานเกือบกว่าสามศตวรรษ เราจึงอาจกล่าวถึงประวัติของ มหาวิหารนี้โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะคือ   
ระยะแรก มหาวิหารนี้สร้างด้วยไม้ตั้งอยู่ที่แอดมิรัลตี้ (กองบัญชาการกองทัพเรือ) และในปีค.ศ. 1712 ได้ใฃ้ เป็นที่ประกอบพิธีอภิเษก สมรสของกษัตริย์ปีเตอร์มหาราช และพระนางแคทเธอรีน
ระยะที่สอง มหาวิหารตั้งอยู่ที่ลานดีเซมบริสต์ มหาวิหารสร้างด้วยหิน และกษัตริย์ปีเตอร์มหาราชทรงวางศิลาฤกษ์ ด้วยพระองค์เองเมื่อปีค.ศ. 1717 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ขึ้น
ระยะที่สาม พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ทรงมีรับสั่งให้ก่อสร้างมหาวิหารนี้ขึ้นมาใหม่ มหาวิหารเซนต์ไอแซค ที่เห็นในปัจจุบัน ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อ มองต์แฟรองด์ (August de Montferrand) ซึ่งนายมองต์แฟรองด์เป็นสถาปนิกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงได้ในประเทศรัสเซียแต่สำหรับประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของเขา เขากลับไม่โด่งดังและไม่มีผู้ใดเลยที่รู้จักเขาในนามสถาปนิก ผู้มีฝีมือดีคนหนึ่งจนกระทั่งได้เดินทางมาสร้างผลงานที่ประเทศรัสเซีย และผลงานชิ้นแรกของเขาซึ่ง เขาเคยมีผลงานการออกแบบมาแล้วคือ เสาอเล็กซานเดอร์ ที่ลานพระราชวังฤดูหนาวแต่การออกแบบที่มหาวิหารเซนต์ไอแซค กลับทำให้ชื่อเสียงของ เขาโด่งดังไปทั่วโลกโดยใช้เวลา ก่อสร้างนานถึง 40 ปีลักษณะของการออกแบบมหาวิหารเซนต์ไอแซคนี้มีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรเนอซองส์ และบาโรค

ลักษณะภายในวิหารประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ที่สำคัญอันได้แก่

- การประดับด้วยภาพไอคอน(Icon) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเป็นรูป เซนต์นิโคลาสเซนต์ปีเตอร์
  ซึ่งการทำโมเสกนี้ใช้เวลานานมากถ้าหากคิดเป็นตารางเมตรเมตรหนึ่งใช้เวลาร่วม ปี ใช้สีหมื่นกว่าสี และใช้เงิน มากถึง 23 รูเบิลและภาพ เฟรสโก แต่ปัจจุบันต้องยกเลิกการทำโมเสกเพราะเนื่องจากต้องใช้ต้นทุนสูงมากใน การทำโมเสกขึ้นมาแต่ละชิ้นงานและใช้ระยะเวลานาน
- ภาพแกะสลักนูนต่ำ
- แร่หินชนิดต่างๆ เช่น เสาหินมาลาไคต์และหินอื่นๆจากเทือกเขาอูราล
- รูปหล่อสำริด
- รูปแกะสลักด้วยหินอ่อน เช่น รูปของนายมองต์แฟรองด์ สถาปนิกชาวฝรั่งเศส
- ประตูที่ทำจากไม้โอ๊กและทำการติดรูปสลักซึ่งทำมาจากทองแดงมีความสวยงามและ ใหญ่โตและเป็นโบสถ์    ออร์โทดอกซ์แห่งเดียวที่ ประดับประดาตกแต่งด้วยกระจกสี



โบสถ์คาซาน

โบสถ์คาซาน (Kazan Cathedral) มหาวิหารคาซาน ตั้งอยู่บนถนนเนฟสกี้ ซึ่งเป็นถนนเส้นหลักของตัวเมือง มหาวิหารคาซานทำการสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ตรงกับช่วงปีค.ศ. 1708 ซึ่งแต่เดิมนั้นจัดได้เพียงว่าเป็นโบสถ์เล็กๆเท่านั้น โดยภายในมีรูปไอคอนและพระแม่มาเรีย (Our Lady Of Kazan) ที่วาดขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าอีวานที่ 4 ในช่วงที่กรุงมอสโกก่อตั้งเป็นเมืองหลวง โดยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชได้มีพระราชดำรัสให้นำรูปไอคอนและพระแม่มาเรียนมา ได้ที่นี่ ต่อมาในสมัยการปกครองของพระเจ้าปอลด์ที่ 1 ในปีค.ศ. 1800 ได้ทำการสร้างวิหารใหม่ให้เป็นวิหารที่ใหญ่ขึ้น และสวยงามกว่าเดิม เนื่องจากที่ว่าหลังจากที่พระองค์เสด็จประพาส ณ กรุงโรมที่อิตาลีแล้วพระองค์ทรงเกิดความประทับใจในรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบ อิตาลี พระองค์จึงได้นำรูปแบบดังกล่าวนั้นมาผสมผสานในการก่อสร้างมหาวิหารหลังใหม่ นี้มหาวิหารคาซานหลังใหม่นี้ สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1811 ออกแบบโดยสถาปนิก คือ - Charles Camelon - Thomas de Thomon - Pietro Gonzago โบสถ์คาซาน เป็นสถาปัตยกรรมในรูปศิลปะแบบนีโอคลาสสิก เป็นลักษณะรูปทรงครึ่งวงกลม มีเสาหินวางเรียงแถวยาวอย่างเป็นระเบียบหลังจาก 10 ปี แห่งการก่อสร้าง มหาวิทยาลัยคาซานกลายเป็นสถานที่เพื่อมาสักการะบูชาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากสาเหตุหนึ่งมาจากเพราะตั้งอยู่ในใจกลางเมือง จึงทำให้ประชาชน หรือนักท่องเที่ยวพบเห็นได้ง่าย และด้วยความสวยงามของมหาวิหารที่มักจะเป็นที่สะดุดตาของผู้พบเห็นแต่ในปีค .ศ. 1812 เกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับฝรั่งเศสขึ้น จึงได้นำรูปปั้นของผู้บังคับบัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพเรือ คือ Mikhail Kutuzov และ Barclay de Tolly มาจัดแสดงเป็นอนุสรณ์ไว้ ณ ที่มหาวิหารคาซานนี้ด้วยซึ่งปัจจุบันมหาวิหารคาซานจัดได้เป็นมหาวิหารอีก หนึ่งสถานที่ในนครเซนต์ปีเตอร์เบิร์กที่มีความสวยงาม และมีประวัติที่สำคัญ โดยด้านหน้าของมหาวิหารจะมีสวนสาธารณะไว้สำหรับเป็นที่พักผ่อนของชาวรัสเซีย


ป้อมปีเตอร์แอนด์ปอล


ป้อมปีเตอร์แอนด์ปอล (Peter and Paul Fortress) ตั้งอยู่ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ประเทศรัสเซีย เป็นจุดกำเนิดของนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ใช้ชื่อของนักบุญปีเตอร์และนักบุญปอล 2 สาวกของพระผู้เป็นเจ้า สร้างโดยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 1703 เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรก พื้นที่ดั้งเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของพวกนอฟโกรอส ใช้เวลาในการสร้าง 40 วัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อเอาไว้ป้องกันของทหารสวีเดน แต่เมื่อป้อมเสร็จก็ไม่ได้ใช้งาน เนื่องจากทหารสวีเดนไม่ได้รุกรานอีกเลย เคยใช้เป็นที่คุมขัง ซาร์เรวิช อเล็กซิส ( Tsarevich Alexis ) โอรสองค์โตของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ซึ่งมีความคิดไม่ลงลอยกับพระราชบิดาจึงถูกลงทัณฑ์และสิ้พระชนม์ที่นี่
องค์ประกอบทางศิลปะ
ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ในบริเวณป้อมมีหอระฆังซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเซนต์ปี เตอร์สเบิร์ก สูง 122.5 เมตร มีวิหารศักดิ์สิทธิ์ และมหาวิหารปีเตอร์และปอลที่ใช้เวลาสร้าง 21 ปี ภายในมีพรศพของกาตริย์แห่งรัสเซียพระองค์แรกที่ฝังอยู่ที่นี่คือพระเจ้าปีเตอร์มหาราชรวมทั้งมีหลุมฝังพระศพของราชวงศ์โรมานอฟหลายพระองค์โดยเฉพาะ กษัตริย์โรมานอฟยุคสุดท้ายคือพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ที่ถูกสังหารทั้งครอบครัว โลงส่วนใหญ่เป็นโลงหินอ่อนสีขาวแต่มีอยู่ 2 โลงที่เป็นหินอ่อนสีเขียวและสีแดง เป็นโลงศพของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 กับพระนางมารี อเล็กซานดรอฟนา เจ้าหญิงจากเยอรมัน พระมเหสี  หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ตัวโบสถ์ได้เปลี่ยนเป็นที่เก็บพระศพของพระองค์และองค์ต่อๆ มา รวมทั้งพระเจ้าซาร์นิโลลัสที่ 2 ซึ่งเป็นพระเจ้าซาร์องค์สุดท้ายแห่งราชวงค์โรมานอฟ และครอบครัว ซึ่งเพิ่งอัญเชิญพระศพมาไว้เมื่อปี ค.ศ. 1998 ประกอบด้วยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พระนางอะเล็กซานดร้า พระธิดา 3 พระองค์ คือ โอลก้า ทาเทียน่า อนาสตาเซีย ส่วนที่ไม่พบคือ พระธิดามาเรีย และพระโอรสอเล็กซิส


ของที่ระลึก


1. ตุ๊กตาแม่ลูกดก   ต้น กำเนิดของตุ๊กตาแม่ลูกดกนั้น มีการเล่าต่อ ๆ กันมาเป็นสองทางด้วยกัน ทางหนึ่งว่า พระชาวรัสเซียเป็นบุคคลแรกที่นำวิชาทำตุ๊กตาไม้ไปจาก เกาะฮอนชูของญี่ปุ่น และเมื่อมาถึงรัสเซียก็ผสมผสานรูปแบบเข้ากับศิลปะท้องถิ่น เช่นแนวคิดในการซ้อนตุ๊กตาที่คุ้นเคยกันดีในรัสเซีย และประยุกต์เข้ากับงานประดิษฐ์แอปเปิ้ลไม้ รวมถึงไข่อีสเตอร์ จากนั้นจึงตั้งชื่อขึ้นใหม่ว่า มาตรีโอสคา

2. คาเวียร์ หรือบางทีจะเรียก ไข่ปลาคาเวียร์ (caviar) เป็นไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรสโดยไข่มาจากปลาหลากหลายประเภท โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน คาเวียร์ได้มีการโฆษณาและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดใน โลก คำว่า คาเวียร์มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า خاگ‌آور (Khag-avar) ซึ่งมีความหมายว่า "ไข่ปลาที่ปรุงรส" โดยในแถบเปอร์เซียจะ  ใช้หมายถึงปลาสเตอร์เจียน

3. เหล้าวอดก้ารัสเซีย   เหล้าวอดก้าในรัสเซียเริ่มกำเนิดในศตวรรษที่ 12 ในยุคนั้นการทำเหล้าวอดก้าได้ผลิตน้อย   จนศตวรรษที่ 14 ชาวรัสเซียจึงได้นิยมดื่มเหล้าวอดก้ากัน และเริ่มมีการผลิตเหล้าพันธุ์นี้กันอย่างเป็นแพร่หลาย  ในรัสเซีย การผลิตเหล้าวอดก้านอกจากใช้ธัญญาพืชนานาชนิดเป็นวัตถุดิบแล้ว ผู้ต้มเหล้าบางคนก็ทำวอดก้าจากน้ำมะเขือเทศด้วย เหล้าวอดก้าของรัสเซียส่วนมากดีกรีสูงจัดและไร้กลิ่นรสของวัตถูดิบขบวน เหล้าวอดก้าที่ผลิตกันในหลาย ๆ ประเทศเหล้าวอดก้าของรัสเซียมีดีกรีสูงสุดบางขวดสูงถึง 95 ดีกรีระบบยุโรป



อาหารประจำชาติ รัสเซีย



อาหารรัสเซียได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมสมบูรณ์ด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งวิธีการทำก็แสนง่ายและไม่มีเครื่องปรุงแต่อย่างใด ส่วนประกอบหลักของอาหารรัสเซีย ได้แก่ พวกธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวไร บาร์เร่ ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง และข้าวสาลี จึงไม่น่าแปลกใจที่ขนมปังจะเป็นอาหารหลักของคนรัสเซีย ส่วนพายมักทำกันในช่วงเทศกาล หรือวันหยุด ไส้ที่นิยมได้แก่ ปลา เนื้อ และเบอร์รี่
            คนรัสเซียชอบกินผักมาก ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี หัวผักกาด แตงกวา โดยนิยมทำเป็นผักสลัด กินกับน้ำสลัดรสเปรี้ยว อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชาวรัสเซียนิยมมากอีกชนิดหนึ่ง คือ มันฝรั่ง
หากมองย้อนไป  รัสเซียเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โทดอกซ์ที่เคร่ง ครัดมาก มากกว่า 200 วันในหนึ่งปี ที่คนรัสเซีย ผู้ที่นับถือนิกายออร์โทดอกซ์งดกิน เนื้อ นม ไข่ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมทั้งหลาย และการที่จะทำให้อาหารที่มีแต่ผักมีรสชาตมากยิ่งขึ้น จึงต้องใช้เครื่องเทศ เป็นส่วนประกอบ ทำให้ติดรุปแบบการบริโภคมาจนทุกวันนี้
              เครื่องเทศที่คนรัสเซียนิยมมากที่สุดคือ อบเซย พริกไทย กานพลู และที่ขาดไม่ได้คือหอมหัวใหญ่ คนรัสเซียแบ่งอาหารของตัวเองออกเป็น 2 ประเภท คือ อาหารประจำวัน ที่เน้นความง่าย ใช้เวลาปรุงไม่นาน กับอาหารที่เป็นทางการที่ต้องพิถีพิถันเครื่องปรุงและใช้เวลาในการทำมากขึ้น การได้กินอาหารรัสเซียแท้ๆ จึงเสมือนคุณกำลังได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนรัสเซียไปขณะเดียวกัน
อาหารหลักของรัสเซีย ประกอบไปด้วย ขนมปังดำ มันฝรั่ง เนื้อสัตว์ เนย ไส้กรอก นม ซุปจืด ผักดอง ส่วนเครื่องดื่มก็จะมี ว้อดก้า น้ำควาซ (Kvas) ทำมาจากการหมักขนมปังดำกับยีสต์ มีรสชาติคล้ายกับเบียร์ สีเหลืองเข้มคล้ายกับน้ำมะนาว ใส่โซดา แต่มีแอลกอฮอล์น้อย ชาวรัสเซียส่วนใหญ่นิยมดื่มชามากที่สุ

อาหารรัสเซียทั่วไป ประกอบด้วย สลัดผัก ซุปจืด ผักดอง อาหารจานหลักเป็นเนื้อสัตว์ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อปลา กับมันฝรั่งบดต้ม หรือผัด นอกจากนี้ก็ยังมีไขปลาคาเวียร์ ปลารมควัน ขนมปังเนย ซุปเซอซิ ชา กาแฟ และของหวาน เช่น เค้ก หรือไอศกรีมและผลไม้ตามฤดูกาล